top of page

หัวใจสำคัญของการปฏิบัติ

  • รูปภาพนักเขียน: วัดตะพงนอก
    วัดตะพงนอก
  • 22 พ.ค. 2566
  • ยาว 2 นาที

การปฏิบัติไม่ใช่แค่เรื่องนั่งสมาธิ เดินจงกรม

นั่งรถยนต์ นั่งรถเมล์ ก็ภาวนาได้ เวลาขับรถ รถติดก็ภาวนาได้ ไปถึงที่ทำงาน ลงจากรถเดินขึ้นตึก ตรงนี้ก็ภาวนาได้ ทุกก้าวที่เดินมีสติไว้ มันก็คือการปฏิบัติแล้ว ขึ้นไปถึงไขกุญแจโต๊ะ เปิดคอมพ์ฯ บูตเครื่อง ตรงนี้ก็ภาวนาได้ ยังไม่ได้ทำงาน ไปชงกาแฟมากินสักแก้วหนึ่ง ตอนนี้ก็ยังไม่ได้ทำงาน พอเราภาวนาไม่เป็น เราทิ้งหมดเลย เวลาเล็กเวลาน้อยทิ้งหมด เวลาเดินทางตอนเช้าบางทีเป็นชั่วโมง ทิ้งเปล่าๆ ไปแล้ว เล่นมือถือไป หรือก็ใจลอยฟุ้งซ่านไป เสีย ตายฟรีไปชั่วโมงหนึ่งแล้ว เวลากินข้าว พักกลางวันไปกินข้าวก็ภาวนาได้ เข้าไปในโรงอาหาร เห็นอาหารอันนี้ก็เบื่อ เห็นอันนี้ก็เบื่อ ใจไม่ชอบ เบื่อรู้ว่าเบื่อ นั่นก็คือปฏิบัติ

หลวงพ่อไม่รู้สึกเลยว่าเราไม่มีเวลา ตอนทำงาน งานหลักจริงๆ คือทำเอกสารประชุม หรือการหาข่าวหาข้อมูลแล้วมาทำเอกสาร เสนอแนะนโยบายและแผนงานต่างๆ แล้วก็ภารกิจหลักอีกอัน ก็เรื่องประชุม ประชุมเช้า ประชุมกลางวัน เอกสารเราเสร็จแล้ว งานทั้งหมดเตรียมเสร็จแล้ว มีเวลาว่างรอกรรมการมาประชุม ตรงนี้ก็ปฏิบัติได้ เห็นหน้าคนที่มาประชุม มันรู้จักกันอยู่แล้ว แต่ละคนเป็นอย่างไร บางคนเก่ง ข้อมูลก็ดี ความคิดก็ดี เวลามาประชุม ได้ประโยชน์ เราเห็นคนนี้เดินเข้าห้องประชุมมา เราก็ดีใจแล้ว ดีใจรู้ว่าดีใจ นี่คือการปฏิบัติ บางคนพอเห็นหน้า โอ๊ย ไอ้เวรนี้มาอีกแล้ว พูดยาว มีแต่น้ำไม่มีเนื้อ

บางคนเวลาศึกษาพิจารณาอะไร จะชี้ปัญหา มีปัญหาอย่างนี้ มีปัญหาอย่างนี้ สาเหตุคืออะไรไม่รู้ ทางออกจะแก้ปัญหา หรือจะแก้สาเหตุของปัญหา จะทำอะไรบ้าง ไม่มี ชี้แต่ปัญหา เหมือนทุกวันนี้ลองไปดูในโซเชียล ชี้ปัญหา แต่ไม่มีข้อมูลที่จะวิเคราะห์หาทางออกได้ ชี้ปัญหาใครก็ชี้ได้ ชี้ถูกชี้ผิดอะไร มันก็ปัญหาทั้งนั้น เพราะปัญหามันมีเต็มโลก พอคนที่พูดนั่นก็ปัญหา นี่ก็ปัญหา ทำอย่างนี้ก็ไม่ได้ ทำอย่างนั้นก็ไม่ได้ แล้วถามว่าจะทำอะไร ทำไม่ได้ ไปคิดเอาก็แล้วกัน เสียเวลาฟัง พอเจอหน้าคนอย่างนี้ ใจเราก็เอียน ถ้าอ้วกได้คงอ้วก เบื่อ เสียเวลามากเลย คนอย่างนี้มาประชุม ใจไม่ชอบ รู้ว่าไม่ชอบ นี่คือการปฏิบัติ

เห็นไหม การปฏิบัติไม่ใช่แค่เรื่องนั่งสมาธิ เดินจงกรม ถ้าเรานั่งสมาธิ เดินจงกรมอยู่ แต่เราไม่มีสติ นั่นไม่เรียกว่าการปฏิบัติ หลวงปู่มั่นท่านบอกว่า “มีสติ คือมีการปฏิบัติ ขาดสติ คือขาดการปฏิบัติ” นี่ท่านพระกรรมฐาน ท่านพูดออกมานี้ตรงเป๊ะเลย มีการปฏิบัติก็คือมีความเพียร มีความเพียรชอบ เพียรละอกุศลที่มีอยู่ เพียรปิดกั้นอกุศลใหม่ไม่ให้เกิด เพียรทำกุศลที่ยังไม่เกิดให้เกิด เพียรทำกุศลที่เกิดแล้วให้เจริญขึ้น งาน 4 ประการนี้ ทำได้ด้วยสติทั้งนั้นเลย อย่างจิตเรามีอกุศล จิตเราโกรธ เห็น Member ที่มาประชุมคนนี้โหลยโท่ย เสียเวลาอีกแล้ว วันนี้ยืดเยื้อ ประชุมเยอะ เกินเวลาแน่นอน เพราะคนเดียวมันพูดไม่เลิก ใจมีโทสะ เราเห็นโทสะเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ก็ดับไป เราได้ปฏิบัติแล้ว

เพราะฉะนั้นมันไม่ได้ว่า ไม่มีเวลา มีเวลาวันหนึ่งๆ เยอะแยะ แต่เอาเวลาไปเล่น เอาเวลาไปใจลอยเสียหมด แทนที่จะมีสติไปเรื่อยๆ ถ้ามีสติอยู่ตอนไหน ตอนนั้นก็คือมีความเพียร มีการปฏิบัติอยู่ กินข้าวก็ปฏิบัติได้แล้ว เข้าส้วมก็ปฏิบัติได้ เข้าส้วม สมมติวันนี้ท้องผูก สบายใจไหม ไม่สบายใจ ร่างกายก็อึดอัด จิตใจก็อึดอัด มีสติรู้ นี่เรากำลังปฏิบัติอยู่ บางคนบอกว่าอยู่ในส้วม อย่าปฏิบัติ เดี๋ยวเทวดาเหม็น เทวดาก็คงไม่โง่เข้าไปในส้วมหรอก อีกอย่างถ้าเราภาวนาอยู่ตรงไหน เทวดาเขาไม่นั่งเฝ้าติดตัวเรา เขาอยู่ไกลๆ เขาก็สัมผัสได้ เขาก็รู้ได้ ฉะนั้นการปฏิบัติจะดีต้องไม่เว้นวรรค จะอึ จะฉี่อะไร ก็ต้องปฏิบัติ คือมีสติไปเรื่อยๆ ถึงเวลาก็ทำสมาธิในที่ๆ สมควรทำ

อย่างเราขับรถอยู่ อย่าไปทำสมาธิ ขืนไปทำสมาธิตอนขับรถ เดี๋ยวจิตรวมลงไป รู้สึกตัวอีกทีอยู่ในปรโลกแล้ว รู้กาลเทศะ จะขับรถก็มีสติไว้ เจริญสติไป ขับรถในเมืองไทยโทสะขึ้นตลอดเวลา เดี๋ยวโทสะผุดก็รู้ โทสะผุดก็รู้ คอยรู้เรื่อยๆ บางทีรถ เราจะไปธุระไกลๆ ไปเทศน์ไกลๆ วิ่งไป แหม ถนนโล่ง อยู่ๆ รถติดฉับพลัน เจอด่านอีกแล้ว ตรวจอะไรนักหนา ตรงนี้ก็ตรวจ ตรงนั้นก็ตรวจ ตรวจกันทุกอำเภอ เมื่อก่อนสายเอเชีย มีด่านทุกอำเภอเลย ตอนหลังเขาขยายความเร็ว เพิ่มให้เร็วขึ้น ด่านเลยหายไป ก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไรเพิ่มขึ้น พอเราเห็นรถติด เราขับรถอยู่ เราหงุดหงิด เราก็รู้ว่าหงุดหงิดไป

หรืออย่างเด็กนักเรียน หลวงพ่อเห็นตั้งแต่เล็กๆ เลย มันดูจิตได้โดยที่เราไม่รู้ว่าดูจิต วิชานี้ไม่ชอบ พอจะถึงวิชานี้ ไม่มีความสุข อย่างภาษาอังกฤษไม่ชอบเลย ตอนเด็กๆ เล็กๆ เลย เก่ง แล้วพอเรียนประถมปลาย ครูสอนภาษาอังกฤษบอกให้ท่องกิริยา 3 ช่อง แล้วเดี๋ยวมะรืนนี้ต้องมาท่องให้ฟัง ถ้าท่องไม่ได้ 1 ตัว ตี 1 ที หลวงพ่อเกลียดภาษาอังกฤษมาตั้งแต่ตอนนั้นเลย ที่จริงเกลียดครู แต่เราเลยไม่ชอบภาษาอังกฤษไปด้วย เราเป็นนักเรียน วิชานี้เราไม่ชอบ ไม่ชอบครูก็เลยไม่ชอบวิชานี้ไปด้วย เราเห็นใจเราเศร้าหมอง แต่เราไม่มีทางออก

เราเห็นทุกข์ที่เกิดในใจเรา แต่ยังไม่เห็นสมุทัย รู้ว่าใจเรามีความทุกข์เกิดขึ้นแล้ว แต่ไม่มี ไม่รู้สมุทัย ไม่รู้ว่าทำไมมันทุกข์ รู้แต่ว่าไม่ชอบครูนี้ ไม่ชอบวิชานี้ หรือเวลาเจอวิชาที่ชอบ เรียนด้วยความกระปรี้กระเปร่า ชอบ เรามีความสุข จะเรียนวิชานี้มีความสุข รู้ว่ามีความสุข แต่มองไม่ออกว่าความสุขนี้ ก็เป็นสิ่งแปลกปลอม เราไม่รู้สมุทัยด้วย ที่เราชอบเรามีความสุข เพราะมันได้อย่างที่อยาก เด็กๆ มันก็แค่รู้ ใจมันกลุ้มใจก็รู้ มันสบายใจมันก็รู้ เด็กๆ มันรู้ได้แค่นี้ เด็กอื่นก็อาจจะอัจฉริยะ รู้สมุทัยได้

หลวงพ่อเห็นแต่ทุกข์ จนมานั่งภาวนา เจอครูบาอาจารย์ถึงรู้ ทุกข์เกิดเพราะอยาก อยากเกิดเพราะไม่รู้ เพราะโง่ ฉะนั้นจะทำลายตัวทุกข์ให้ได้ ก็ต้องละที่ความอยาก ละที่สมุทัย จะละสมุทัยนั้นก็ละได้หลายระดับ ละด้วยสติ ละด้วยสมาธิ หรือจะละด้วยปัญญา ละด้วยสติ เช่น ใจเราอยาก เรารู้ว่าอยาก ความอยากก็ดับ เราละด้วยสติ เดี๋ยวก็อยากใหม่ ละด้วยสมาธิ เช่น อยากไปดูหนัง เราไปนั่งสมาธิ สงบ สบาย หายอยากแล้ว เดี๋ยวพอออกจากสมาธิ พอคิดขึ้นมาก็อยากใหม่ ฉะนั้นละด้วยสติ ละด้วยสมาธิ ยังไม่เด็ดขาด ละสมุทัย ละตัณหา เด็ดขาด ละด้วยปัญญา เรียนรู้ความจริงของกายไป เรียนรู้ความจริงของจิตใจไป ถึงจุดหนึ่งมันก็ละของมันเอง นี่อาศัยเข้าวัดมาแต่เด็ก แล้วก็เรียนรู้ประณีตลึกซึ้งไปเรื่อยๆ

สมาธิ หลวงพ่อทำมาแต่เด็ก 10 ขวบแยกขันธ์ได้แล้ว ตอนที่แยกขันธ์ได้ ไม่ได้เจตนา ฝึกสมาธิทุกวัน หายใจเข้าพุท หายใจออกโธทุกวันๆ พอมีเรื่องให้ตกใจ ไฟไหม้ข้างบ้าน ตกใจ สติมันไปเห็นความตกใจเข้า ความตกใจดับทันที จิตก็ตั้งมั่นเด่นดวงขึ้นมา ได้จิตผู้รู้ แล้วก็เห็นร่างกายมันเดินไปบอกพ่อบอกแม่ ไฟไหม้ แล้วก็เห็นคนอื่นเขาตกใจ เราไม่ตกใจ เราเป็นผู้เห็น ตอนนั้น 10 ขวบ อยู่ๆ มันไม่เป็นหรอก มันก็ต้องฝึกเอา ของฟรีไม่มี ของฟลุกไม่มี บังเอิญไม่มี ในความเป็นจริงแล้วบังเอิญไม่มีในโลกนี้ สิ่งทั้งหลายเกิดจากเหตุ มีเหตุสิ่งนั้นก็เกิด หมดเหตุสิ่งนั้นก็ดับ

ไม่มีคำว่าบังเอิญ ฟลุกไม่มี โชคไม่มี เคราะห์ไม่มี ฤกษ์ดีไม่มี ฤกษ์ไม่ดีไม่มี เคราะห์ก็เป็นชื่อดาวเคราะห์ ฤกษ์ก็เป็นชื่อดาวฤกษ์ ดวงดาวจะทำอะไรกับคน จะทำได้ก็ถ้ามันหลุดออกจากวงโคจร แล้ววิ่งมาชนโลก ถ้ามันลอยๆ อยู่ มันจะทำอะไร วิชาโหราศาสตร์มันก็เป็นเรื่องของสถิติ คนโบราณสะสมมาเป็น 1,000 ปี ถ้าดาวดวงนี้มาอยู่ตรงนี้ จะเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ เหตุการณ์อย่างนี้จะกระทบกับคนชนิดนี้ ในความเป็นจริง ถ้าเรามีธรรมะอยู่กับตัว มีสติ มีสมาธิ มีปัญญาอยู่ เราไม่ยึดถือหรอก ฤกษ์ยาม

หลวงพ่อทำอะไรไม่เคยมีฤกษ์เลย ก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลย จะซื้อรถใหม่ก็ไม่เห็นมีฤกษ์เลย สะดวกเมื่อไรก็ซื้อวันนั้น จะย้ายบ้านวันนี้สะดวก ก็ย้ายวันนี้ จะบวช วันนี้สะดวกก็บวชวันนี้ จะสึก วันนี้สะดวกก็สึกวันนี้ ไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลย ก็เราไม่เชื่อเสียอย่าง เราเชื่อกรรม เชื่อผลของกรรม จิตใจที่มันได้รับการอบรมธรรมะมาตั้งแต่เล็กๆ มันไม่ได้เชื่ออะไรงมงาย อบรมแล้วลงมือปฏิบัติไป เชื่อเหตุกับผล เหตุกับผล ก็คือกฎแห่งกรรมนั่นล่ะ กฎแห่งกรรมไม่ใช่เรื่องอื่นหรอก ทำเหตุอย่างนี้ ก็มีผลอย่างนี้ เป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่เรื่องพิสดาร ไม่มีใครมากำหนด

ความคิดเห็น


ติดต่อวัดตะพงนอก

สถานที่ตั้ง
ตำบลตะพง อำเภออำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง รหัสไปรษณีย์ 21000

เบอร์ติดต่อ
086-499-2290

เวลาเปิดทำการ (ทุกวัน)
06.00 - 17.00 น.

ช่องทางอื่นๆ



วัดตะพงนอก

  • Facebook

ส่งข้อความสำเร็จ

©2023 by Wat Taphong Nok. Proudly created by Dryv Technology

bottom of page