ฆราวาสมีหน้าที่ทั้งทางโลกทางธรรม
- วัดตะพงนอก

- 22 พ.ค. 2566
- ยาว 1 นาที
งานรักษาจิตใจตัวเองสำคัญที่สุด
คำว่า “โลกธรรม” 8 ประการ มันเป็นสิ่งที่คนทั้งหลายเขาหวั่นไหวกัน เวลาได้รับอะไรในทางบวก ก็ยินดี เวลาได้รับอะไรในทางลบ ก็ยินร้าย แต่ในโลกไม่มีบวกด้านเดียว หรือลบด้านเดียว มันก็หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไป ตามเหตุปัจจัยของมัน อย่างตัวบุคคลนั้นก็มีลาภ มีผลประโยชน์ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ มีนินทา มีสรรเสริญ มีสุข มีทุกข์ นี้ส่วนตัวบุคคล ส่วนของประเทศชาติมันก็ตกอยู่ใต้โลกธรรมเหมือนกัน ถ้าเราดูให้ดี อย่างบางชาติเคยมีชื่อเสียง มีผลประโยชน์มาก ถึงจุดหนึ่งหาผลประโยชน์ยากขึ้น เคยมีชื่อเสียง ถึงช่วงหนึ่งก็เสียชื่อเสียง
ระดับชาติก็เป็น ระดับบุคคลก็เป็น เหมือนกันล่ะ ถูกคนชมบ้าง คนนินทาบ้าง เหมือนกันหมด ตั้งแต่ระดับบุคคลจนถึงระดับชาติ มันก็หนีกฎของโลกธรรมไม่พ้น เจริญได้ก็เสื่อมได้ ถ้าเราจะเอาด้านเดียว อยากได้ด้านที่ดี ไม่เอาด้านที่ไม่ดี เรียกว่าเรายังไม่เข้าใจความจริงของโลก ความจริงของโลกก็โลกธรรมนั่นล่ะ ได้มาเสียไป เสียไปแล้วก็ได้มา เรื่องธรรมดา สิ่งที่สำคัญก็คือโลกจะเป็นอย่างไรนั้น ก็เป็นเรื่องของโลก อย่าได้ไปทุกข์ตามโลก อย่าได้ไปกระโดดโลดเต้นตามโลกไป
ฉะนั้นงานรักษาจิตใจตัวเอง สำคัญที่สุดเลย ก็ต้องปฏิบัติธรรม ค่อยๆ ฝึกตัวเอง การปฏิบัติธรรมก็ดูวัตถุประสงค์ของเราแต่ละคนไม่เหมือนกัน เท่าที่หลวงพ่อสังเกต บางคนปฏิบัติธรรมด้วยเหตุผลอย่างนี้ บางคนด้วยเหตุผลอย่างนี้ ไม่เหมือนกัน ความต้องการไม่เท่าเทียมกัน ยกตัวอย่างง่ายๆ สมมติคนที่เรารักตายไป สมมติว่าพ่อแม่เราตาย บางคนก็มาวัด มีวัตถุประสงค์หลายอย่าง ต่ำสุดเลยอยากรู้ว่า พ่อแม่เราตายแล้วไปอยู่ที่ไหน คิดว่ามานั่งสมาธิแล้วเราจะรู้จะเห็น ลงมือปฏิบัติธรรม หวังว่าจะรู้จะเห็นอะไรพวกนี้ อันนี้มันก็เป็นไปได้ แต่มันไม่ค่อยมีคุณค่าเท่าไรหรอก
หรือบางคนพ่อแม่ตายแล้วก็มาวัด มาทำบุญ หวังว่าจะอุทิศบุญให้ อันนี้ดีขึ้น ดีกว่าพวกแค่อยากรู้อยากเห็นว่าตายแล้วไปไหน ดูไปมากๆ ถ้าไม่มีสติ ไม่มีปัญญา ก็จะเกิดความเป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็นมิจฉาทิฏฐิชนิดสัสสตทิฏฐิ หรืออุจเฉททิฏฐิ อย่างพ่อแม่เราตายแล้วมานั่งสมาธิ เราปฏิบัติธรรมแล้วก็รู้ ระลึกได้ รู้ได้ไปเกิดที่นี้ เกิดที่นี้ เราก็นึกว่าดีอันนั้น เอาเข้าจริงมันเป็นการสะสมมิจฉาทิฏฐิ เราจะเกิดความเห็นผิด ว่าจิตวิญญาณนี้เที่ยง พอตายจากชีวิตนี้ จิตวิญญาณดวงเดิมนี้ไปเกิดในภพใหม่ อันนี้เป็นมิจฉาทิฏฐิชื่อ สัสสตทิฏฐิ บางคนมานั่งสมาธิ เข้าวัดภาวนา แล้วก็ไปดูพ่อแม่เราตายแล้วไปไหน มองไม่เห็น โอ้ ตายแล้วสูญ อันนี้ก็เป็นมิจฉาทิฏฐิชื่อ อุจเฉททิฏฐิ
เพราะฉะนั้นการปฏิบัติธรรม อย่ามัวเที่ยวแสวงหาความรู้ออกข้างนอกเลย มันมักจะนำมิจฉาทิฏฐิมาให้เรา ถ้าคนที่เรารักตายไป เราทำบุญ ทำทาน นั่งสมาธิ กำหนดจิตแผ่ส่วนบุญไป เมตตา หวังว่าให้เขาได้บุญ อันนี้ยังดีกว่ากันเยอะเลย แล้วดีกว่านั้น สมมติคนที่เรารักตาย อัปเกรดมากเลยสำหรับการปฏิบัติ คือเราได้เห็นความจริง ว่าคนเราเกิดแล้วตาย ถ้าเราเห็นตรงนี้ได้ เป็นคุณ เป็นประโยชน์อย่างใหญ่หลวง ตอนพ่อของหลวงพ่อตาย หลวงพ่อเห็นเขาตายต่อหน้าต่อตา อยู่โรงพยาบาล พอเขาตายปุ๊บ จิตหลวงพ่อร่าเริง ไม่มีคำว่าเศร้าโศก ตอนนั้นยังไม่ได้บวชด้วยซ้ำไป เพราะมันได้เห็นความจริง โอ้ พระพุทธเจ้าพูดความจริง เกิดแล้ว สุดท้ายต้องตาย คนที่เรารักตายไป วันหนึ่งเราก็ต้องมีสภาพแบบนี้ อย่างนี้เราเห็นความตาย แล้วเราเกิดสติเกิดปัญญาขึ้นมา เกิดความไม่ประมาท เรารู้ว่าวันหนึ่งเราก็ต้องตาย
ฉะนั้นก่อนจะตาย ก็สร้างสมคุณงามความดีเอาไว้ ถ้าคนที่มันเป็นมิจฉาทิฏฐิชนิดตายแล้วสูญ มันคิดว่าวันหนึ่งจะต้องตาย มันจะรีบแสวงหาความสุขอย่างโลกๆ มันเบียดเบียนใครก็ได้ เพราะอย่างไรสุดท้ายก็ตายแล้วก็สูญไป นี่โทษของพวกมิจฉาทิฏฐิ ไม่กลัวบาปกลัวกรรม พวกที่เห็นว่าตายแล้วเกิดยังดีกว่า ก็จะไม่กล้าทำชั่ว อยากจะทำดี แต่ก็ยังไม่พ้นทุกข์หรอก ฉะนั้นในสถานการณ์อันเดียวกัน คนแต่ละคนนั้น สามารถแสวงหาคุณประโยชน์ได้ไม่เท่าเทียมกัน
อย่างตัวอย่างสมมติพ่อแม่ตายที่หลวงพ่อเล่า เราก็เลยเข้าวัดมาภาวนา ก็ยังแสวงหาประโยชน์ได้ไม่เท่ากัน บางคนอยากรู้ว่าเขาตายแล้วไปเกิดที่ไหน เราจะได้ตามไปเลี้ยงเขาต่อ บางคนสูงขึ้นมา ก็มานั่งสมาธิ มาทำบุญทำทาน อุทิศส่วนกุศลไป ถือว่าเราได้ทำหน้าที่ของลูกที่ดี อันนี้ก็สูงขึ้นมา แล้วสูงสุดก็คือมีปัญญา เห็นความจริงของชีวิต ชีวิตนี้ไม่ยั่งยืน ไม่แน่นอน อย่างไรเราก็ต้องตาย แต่ก่อนจะตาย ควรจะสร้างคุณงามความดีไว้ ที่จริงการภาวนา จนเราสามารถเห็นสัตว์ทั้งหลายตายตรงนี้ ไปเกิดตรงนั้น มันก็มีข้อดีเหมือนกัน ดีกว่าเชื่อว่าตายแล้วสูญ ตายแล้วสูญ เราทำชั่วได้เต็มที่เลย




ความคิดเห็น