วิธีทำความรู้สึกตัว
- วัดตะพงนอก

- 22 พ.ค. 2566
- ยาว 1 นาที
ไม่มีสติ ไม่เรียกว่าการปฏิบัติ
ส่วนใหญ่พอได้ยินว่าให้รู้สึกตัว ก็จะเริ่มบังคับตัวเอง เริ่มประคองจิต รวบจิตเข้ามารักษาไว้ ใจทื่อๆ แล้วก็คอยมารู้สึกร่างกาย ขยับๆ รู้ไปด้วยความเคร่งเครียด อันนั้นจิตกำลังหลงอยู่กับความปรุงแต่ง ไม่เรียกว่ารู้สึกตัว ปรุงอะไร ปรุงภพของนักปฏิบัติขึ้นมา นักปฏิบัติมันต้องไม่เหมือนมนุษย์ธรรมดา จิตใจต้องผิดปกติ ต้องนิ่งๆ ไม่คิด ไม่นึก บางทีก็นิ่ง เครียดๆ อยู่ ไม่ได้เรื่องหรอก เสียเวลา
จะรู้สึกตัวก็รู้สึกเข้าไปเลย เห็นรูปมันเคลื่อนไหว ทีแรกอย่างยกมืออย่างนี้ เราอาจจะรู้สึกว่าเรายกมือ ถ้าสังเกตให้ดี ตัวที่เคลื่อนไหว มันไม่เคยบอกเลยว่ามันเป็นเรา คำว่าเป็นเรา มันเป็นเรื่องคิดเอาทั้งนั้นเลย แล้วมันหลงไปในความคิด ลองรู้สึกตัว ใช้ใจธรรมดานี่ล่ะ แล้วรู้สึกไป ร่างกายนั่งก็รู้ ร่างกายยืนก็รู้ ร่างกายเดินก็รู้ ร่างกายนอนก็รู้ รู้ด้วยใจธรรมดาๆ ซึ่งเรามีอยู่แล้ว ใจที่ธรรมดา อย่าไปทำให้มันผิดธรรมดา
ตรงที่เราไปทำใจให้ผิดธรรมดาก็คือเราปรุงแต่งขึ้นมา เราสร้างความปรุงแต่ง เราสร้างภพของนักปฏิบัติ ทื่อๆ เซื่องซึม แข็งๆ เครียดๆ บางคน อันนั้นคือความปรุงแต่งที่เราสร้างขึ้นมา แล้วเราคิดว่าอย่างนี้ดี ความปรุงแต่งของจิต จิตปรุงขึ้นเมื่อไร จิตก็ติดอยู่ในภพเมื่อนั้น พระพุทธเจ้าบอกว่า ภพเล็กภพน้อยเหมือนอุจจาระ ก้อนเล็กก้อนใหญ่ก็ไม่น่ารับประทานทั้งนั้น ฉะนั้นอย่ามัวแต่ไปปรุงแต่งจิต
เวลาเดินก็ปรุงแต่งร่างกาย เดินท่านั้นท่านี้ เดินท่าไหนดี ท่าที่พ่อแม่สอนให้เราเดินนั่นล่ะดี เดินมาได้จนป่านนี้ เพียงแต่ตอนที่พ่อแม่สอนเราเดิน ไม่ได้สอนเรื่องว่าให้เรารู้สึกตัว ว่าร่างกายมันกำลังเดิน ฉะนั้นการปฏิบัติมันผิดกับคนธรรมดานิดเดียว คือมันรู้สึกขึ้นมา รู้สึกตัวขึ้นมา คือมีสติขึ้นมา เราเคยเดินท่าไหน เราก็เดินไป ทุกก้าวที่เดิน เดินด้วยความรู้สึกตัว นั่นล่ะคือการปฏิบัติ ถ้าเดินกลับไปกลับมา ตามตำรับตำรา เดินท่านั้นท่านี้ แต่ละสำนักสอนไม่เหมือนกัน กำหนดอย่างนั้นกำหนดอย่างนี้ ใจก็เครียดๆ แข็งๆ ขึ้นมา อันนั้นคือความปรุงแต่ง
สิ่งที่อยู่เบื้องหลังความปรุงแต่งอันนั้นคือโลภะ อยากดี อยากรู้ อยากเห็น อยากเป็น อยากได้ อยากดี มีโลภะเกิดขึ้น แล้วก็เกิดความจงใจปฏิบัติ ก็เกิดความปรุงแต่งที่จะปฏิบัติอย่างนั้น ปฏิบัติอย่างนี้ แทนที่เราจะรู้กายอย่างที่มันเป็น รู้ใจอย่างที่มันเป็น เราก็ไปปรุงแต่ง แล้ววันๆ คิดถึงการปฏิบัติเมื่อไรก็ปรุงแต่งเมื่อนั้น ของง่ายก็เลยยาก ของที่เปิดเผยอยู่ต่อหน้าต่อตาเลยกลายเป็นของลึกลับไป
ตอนนี้นั่งอยู่รู้สึกไหม พยักหน้ารู้สึกไหม ต้องทำใจให้เรียบร้อยก่อนไหม ใจเรียบร้อยแล้ว พยักหน้าแล้ว รู้สึก นี่มันปรุงแต่งไปเรียบร้อยแล้ว มันมีมารยาเกิดขึ้น แทนที่จะรู้ซื่อๆ ก็มีมารยาในการปฏิบัติเกิดขึ้น ทำให้ตายมันก็หาดียาก มันไม่ได้รู้เนื้อรู้ตัวจริง ฉะนั้นพยายามฝึกตัวเองให้รู้สึก ร่างกายหายใจ รู้สึก ร่างกายยืน เดิน นั่ง นอน รู้สึก ร่างกายเคลื่อนไหว ร่างกายหยุดนิ่ง รู้สึก คอยรู้สึกไปเรื่อยๆ
รู้สึกร่างกายที่เคลื่อนไหว เรียกรู้สึกตัว หรือความสุขความทุกข์เกิดขึ้นก็รู้ ความสุขเกิดขึ้นก็รู้ ความทุกข์เกิดขึ้นก็รู้ อันนี้ก็เรียกว่ารู้สึกตัว แต่รู้ในทางนามธรรม สิ่งที่เป็นตัวเราก็มีรูปธรรมกับนามธรรม รูปธรรมก็คือตัวร่างกาย มันยืน มันเดิน มันนิ่ง มันนอน คอยรู้สึกไว้ ถ้าเมื่อไรลืมมัน ก็เรียกว่าขาดสติ ไม่รู้เนื้อรู้ตัวแล้ว ใช้ไม่ได้ ขาดสติคือขาดการปฏิบัติ มีสติคือมีการปฏิบัติ ฉะนั้นถ้าเราไม่รู้เนื้อรู้ตัว คือเราขาดสติไป ไม่มีการปฏิบัติ ถึงจะนั่งสมาธิโต้รุ่งก็ไม่ได้ปฏิบัติ แต่เป็นการนั่งทรมานตัวเอง
เดินจงกรมหามรุ่งหามค่ำ แต่ไม่มีสติ ก็ไม่เรียกว่าการปฏิบัติ มันเป็นอัตตกิลมถานุโยคทันทีเลย ทำตัวเองให้ลำบากโดยไม่เกิดประโยชน์ อัตตกิลมถานุโยค คือการทำตัวเองให้ลำบากโดยไม่มีประโยชน์ ถ้าลำบากแล้วเกิดประโยชน์ อันนั้นไม่เป็นอัตตกิลมถานุโยค อย่างเราตั้งใจถือศีล ตั้งใจถือศีลไว้ เรารู้ว่าเราถือเพื่ออะไร มีสติรักษาจิตใจอยู่ ไม่ให้มันทำชั่วตามอำนาจกิเลสอะไรอย่างนี้ อย่างนี้ดี ถ้าถือศีลแล้วเคร่งเครียด ทำอะไรก็เครียดไปหมดเลย ถือศีลแล้วเครียด เยอะแยะเลยที่เห็น อันนั้นเป็นอัตตกิลมถานุโยค
เดินจงกรม ถ้าเรารู้ว่าเราเดินไปเพื่อความรู้เนื้อรู้ตัวๆ แล้ววันหนึ่งเราจะได้เห็นร่างกายที่เดิน ไม่ใช่ตัวเรา จิตที่ไปรู้ร่างกายที่เดินไม่ใช่ตัวเรา ฉะนั้นเราเดินด้วยความรู้เนื้อรู้ตัว อันนี้คือความเพียรที่ถูกต้อง มีความเพียรชอบ แต่เราเดินจงกรมแล้วก็เห็นใจมองอะไรไม่ออก บังคับตัวเองตลอดเลย ด้วยความเคร่งเครียด กำหนดเวลาไว้จะเดิน 1 ชั่วโมง เดินด้วยความเครียด หรือเดินด้วยความฟุ้งซ่าน เดินไปดูนาฬิกาไป ผ่านไปนาทีเดียว การเดินอันนั้นเป็นอัตตกิลมถานุโยค เราทำตัวเองให้ลำบากโดยไม่ได้มีประโยชน์อะไรขึ้นมาเลย
นักปฏิบัติเกือบร้อยละ 100 ทำอัตตกิลมถานุโยค ทำตัวเองให้ลำบากโดยไม่มีประโยชน์ ฉะนั้นพยายามรู้สึกตัวไว้ ถ้าขาดสติ ถ้าไม่รู้สึกตัวเมื่อไร ที่ทำอยู่มันสนองกิเลสไปหมด นึกว่าทำแล้วจะดี เปล่า ทำตามใจกิเลส อยากดี อยากดีก็โลภะ แล้วเดินจงกรมหามรุ่งหามค่ำ ทุกข์ทรมาน ก็พยายามเดิน เดินได้ครบตามเวลาก็อิ่มอกอิ่มใจ โอ๊ย มีความสุขแล้ว ดี มันไม่ได้อะไรขึ้นมา
บางคนก็ไปเข้าคอร์สไปอะไร ทรมานมากเลย วันสุดท้ายที่จะกลับบ้าน โอ๊ย ใจมีความสุขมากเลย โปร่ง โล่ง ใจมันมีความสุขขึ้นมา โปร่ง โล่งขึ้นมา เพราะอะไร เพราะจะได้กลับบ้าน มันทุกข์ทรมานมาหลายวันแล้ว มันเป็นกลไกทางจิตวิทยาธรรมดาๆ ที่ใจมีความสุขขึ้นมาไม่ได้เป็นผลจากการปฏิบัติ แต่เป็นผลจากการเลิกทำอัตตกิลมถานุโยค เลิกกดข่มกาย กดข่มจิต เพราะฉะนั้นพยายามทำความรู้สึกตัวไว้ มีสตินั่นล่ะ ทำความรู้สึกตัวไป รู้ด้วยใจที่ปกติ




ความคิดเห็น